เนมิราชชาดก บำเพ็ญอธิษฐานบารมี (๓)
ภารกิจส่วนใหญ่ที่มีอยู่ในโลกนี้ เป็นภาระที่เกี่ยวข้องกับการทำมาหาเลี้ยงชีพในแต่ละวัน
มนุษย์ทั้งหลายมักติดข้องกันอยู่เช่นนี้มายาวนาน ทำให้ลืมเลือนภารกิจหลักที่แท้จริงของชีวิต คือ การเกิดมาสร้างบารมี ทำความบริสุทธิ์บริบูรณ์ให้แก่ตนเอง ด้วยการกลั่นจิตกลั่นใจให้ใสบริสุทธิ์ จนกระทั่งเข้าถึงความบริสุทธิ์ภายใน ถึงดวงธรรม ถึงกายภายใน จนกระทั่งเข้าถึงพระธรรมกาย จะได้ทำกิเลสอาสวะให้หมดสิ้นไป นี่คือเป้าหมายในการเกิดมาในแต่ละภพแต่ละชาติ เราต่างมีความปรารถนาที่จะทำกันเช่นนี้ จึงควรตั้งใจทำความบริสุทธิ์กาย วาจา ใจให้เกิดขึ้น ด้วยการประพฤติปฏิบัติธรรมมีวาระพระบาลีไว้ใน เนมิราชชาดก ว่า
“หีเนน พฺรหฺมจริเยน ขตฺติเย อุปปชฺชติ
มชฺฌิเมน จ เทวตฺตํ อุตฺตเมน วิสุชฺฌติ
บุคคลย่อมบังเกิดในขัตติยตระกูลเพราะพรหมจรรย์ขั้นต่ำ บุคคลย่อมเข้าถึงความเป็นเทวดาเพราะพรหมจรรย์ชั้นกลาง และบุคคลย่อมบริสุทธิ์ เพราะพรหมจรรย์อย่างสูงสุด”การที่บุคคลใดบุคคลหนึ่งสามารถแนะนำสั่งสอนและตักเตือนตัวเอง ให้ดำรงอยู่บนเส้นทางสวรรค์นิพพาน ซึ่งเป็นเส้นทางของพระอริยเจ้าได้นั้น ท่านผู้นั้น ต้องได้รับการฝึกหัดขัดเกลาทั้งกาย วาจา ใจมาอย่างดี ได้ฟังธรรมและปฏิบัติธรรมมามาก คนส่วนใหญ่เมื่อเกิดมาในโลกนี้ซึ่งเป็นกามภพ ที่มีทั้งมนุษย์และสรรพสัตว์หลากหลาย ไม่ว่าจะเป็นสัตว์ ๒ เท้า ๔ เท้า มีเท้ามากมีเท้าน้อย หรือไม่มีเท้าก็ตาม สัตว์บก สัตว์ปีก หรือสัตว์น้ำทั้งหลาย ต่างยังข้องเกี่ยวอยู่กับกามคุณ ยังยินดีเพลิดเพลินในรูป เสียง กลิ่น รส สัมผัส ธรรมารมณ์ทั้งหลาย จิตใจยังหมกมุ่นในเรื่องการทำมาหากิน แสวงหาความสนุกสนานความบันเทิง และเนื่องจากอวิชชาที่มาห่อหุ้มดวงปัญญาไว้ ทำให้เสมือนคนหลงทางอยู่ในที่มืด ไม่รู้ว่าสาระที่แท้จริงของชีวิตคืออะไร ทางออกของชีวิตอยู่ตรงไหน และจะเข้าถึงความสุขที่แท้จริงได้อย่างไร เมื่อไม่รู้ ชีวิตจึงเวียนวนอยู่ในสังสารวัฏรํ่าไปส่วนพระบรมโพธิสัตว์เจ้าทั้งหลายนั้น ท่านได้สร้างบารมีผ่านพระพุทธเจ้ามานับพระองค์ไม่ถ้วน และไม่ประมาทหมั่นสำรวจตรวจตราดูตัวเอง ว่าเกิดมาแต่ละภพแต่ละชาติ ท่านมุ่งปราบกิเลสในตัวให้สิ้นเชื้อไม่เหลือเศษ หากบารมีไหนที่ยังพร่องอยู่ ท่านจะหมั่นสร้างเสริมให้เจริญยิ่งๆ ขึ้นไป เพราะฉะนั้น แม้ภพชาติจะกีดขวาง ทำให้ความเห็น ความจำ ความคิด และความรู้ของท่านลืมเลือนขาดหายไปบ้าง แต่บุญกุศลที่เกิดจากประพฤติธรรม ให้ทาน รักษาศีลและเจริญภาวนามานับภพนับชาติไม่ถ้วนนี้ ยังคอยกระตุ้นเตือนให้ท่านไม่ประมาทคลาดจากทางของพระนิพพาน ตอนที่แล้ว ได้กล่าวถึงการบังเกิดขึ้นของพระเจ้าเนมิราช ที่ท่านเกิดมาเพื่อสร้างบารมีให้แก่รอบ และตั้งใจที่จะเป็นผู้ธำรงวงศ์ของนักบวชเป็นคนสุดท้าย เพราะท่านรู้ด้วยญาณในสมัยที่เป็นมหาพรหม ตั้งแต่ก่อนมาเกิดว่า หลังจากที่พระองค์ได้ครองราชย์แล้ว วงศ์ตระกูลจะสูญสลาย เพราะไม่มีใครสามารถที่ดำรงรักษาวงศ์ของพระองค์ได้อีกต่อไป ดังนั้น เมื่อท่านได้ครองราชสมบัติแล้ว จึงได้สร้างมหาทานบารมีอย่างเต็มที่เต็มกำลัง และยังชักชวนให้มหาชนได้สร้างบุญกุศล จนเป็นเหตุให้ได้ไปบังเกิดในสวรรค์กันมากมายนับไม่ถ้วนเมื่อพระเจ้าเนมิราชทรงได้บริจาคมหาทานอย่างเต็มที่ อีกทั้งได้สมาทานศีล ประพฤติพรหมจรรย์ในวันอุโบสถ แต่พระองค์ทรงสงสัยว่า ระหว่างการให้ทานกับการประพฤติพรหมจรรย์ สิ่งไหนจะมีผลมากกว่ากัน ระหว่างที่กำลังพิจารณาปัญหาอยู่นั้น พิภพของท้าวสักกเทวราชก็แสดงอาการร้อน ท้าวสักกะทรงตรวจดู ทรงเห็นพระเจ้าเนมิราชกำลังปริวิตกถึงปัญหาที่ทรงตั้งขึ้นมาเอง จึงคิดที่จะลงจากเทวโลกเพื่อไปช่วยคลายความสงสัยของพระเจ้าเนมิราช พระองค์ได้เสด็จมาตามลำพัง ได้ทำสกลราชนิเวศน์ให้สว่างไสวเป็นอันเดียวกัน จากนั้นได้ทรงเสด็จเข้าสู่ห้องบรรทมของพระเจ้าเนมิราช แผ่รัศมีออกไป และประทับยืนอยู่กลางอากาศ พระเจ้าเนมิราชทอดพระเนตรเห็นท้าวสักกะเสด็จมาในยามราตรีเช่นนั้น เกิดความปลื้มปีติว่า มีเทพมาเยือน จึงได้ตรัสถามว่า “ท่านเป็นเทวดา คนธรรพ์ หรือเป็นท้าวสักกะผู้ให้ทานในกาลก่อน รัศมีของท่านสว่างไสวสวยงามยิ่งนัก ข้าพเจ้านี้ยังไม่เคยเห็นท่านมาก่อนเลย ขอท่านจงบอกเราด้วยเถิด ว่าท่านเป็นใคร ขอความเจริญจงมีแก่ท่านผู้มาเยือนในยามราตรีนี้เถิด” ท้าวสักกะตรัสตอบว่า “ดูก่อนมหาราชผู้เป็นจอมมนุษย์ หม่อมฉันเป็นท้าวสักกะจอมเทพ ขอพระองค์อย่าทรงวิตกไปเลย เชิญตรัสถามปัญหาที่มีพระประสงค์เถิด”พระเจ้าเนมิราชทรงได้โอกาสเช่นนั้น จึงตรัสถามว่า “ข้าแต่เทวราชผู้เป็นใหญ่ในหมู่เทพทั้งหลาย หม่อมฉันขอทูลถามพระองค์ว่า ทานหรือพรหมจรรย์อย่างไหนมีผลานิสงส์มากกว่ากัน” ท้าวสักกะตอบว่า “บุคคลย่อมบังเกิดในขัตติยสกุล เพราะประพฤติพรหมจรรย์อย่างต่ำ บุคคลได้เป็นเทพเจ้า เพราะประพฤติพรหมจรรย์ปานกลาง บุคคลย่อมหมดจดวิเศษเพราะประพฤติพรหมจรรย์อันสูงสุด หมู่พรหมเหล่านั้นอันใครๆ จะพึงได้เป็นด้วยการประพฤติวิงวอนก็หาไม่ แต่ต้องเป็นผู้ไม่มีเรือนบำเพ็ญตบะธรรม คือ พรหมวิหารธรรม จึงจะได้บังเกิดในพรหมโลก” หลวงพ่อขออธิบายขยายความถ้อยคำของท้าวสักกะเพิ่มเติมว่า ท่านกล่าวถึงพรหมจรรย์ระดับต่างๆ ซึ่งส่งผลให้ผู้ปฏิบัติได้รับตำแหน่งหรือบังเกิดในสถานที่ซึ่งแตกต่างกันนั้น มีความหมายลึกซึ้งหรือกินความกว้างเพียงไร คำว่า พรหมจรรย์อย่างต่ำ หมายถึงการรักษาศีลที่เรียกว่าเมถุนวิรัติ คือ เว้นจากการล่วงละเมิดในกามนั่นเอง ผู้บำเพ็ญหากปรารถนา ย่อมสามารถไปบังเกิดในขัตติยสกุลได้การได้อุปจารฌาน คือ ทำใจให้เป็นสมาธิ(Meditation)อยู่ภายใน ด้วยใจที่ปลอดโปร่งจากนิวรณ์ธรรมทั้งปวง ชื่อว่า พรหมจรรย์อย่างกลาง ต่อมาเมื่อฝึกสมาธิจนใจหยุดใจนิ่งหนักเข้า จนสามารถทำสมาบัติ ๘ ให้เกิดขึ้นได้ ชื่อว่า พรหมจรรย์ขึ้นสูง ผู้บำเพ็ญพรหมจรรย์ขึ้นนี้ หากปรารถนาไปเกิดในพรหมโลก เมื่อสิ้นอายุขัยย่อมได้ไปบังเกิดในพรหมโลกอย่างแน่นอน นั่นเป็นเพียงพรหมจรรย์ขั้นสูงของนักบวชในยุคสมัยนั้น สำหรับยุคสมัยของเราซึ่งมีพระพุทธศาสนาบังเกิดขึ้น ภิกษุผู้มีศีลบริสุทธิ์ รักษาศีลไม่ให้ด่างพร้อย ถ้ายังปรารถนาเทพนิกายอย่างใดอย่างหนึ่ง พรหมจรรย์ของท่านก็ยังชื่อว่าเป็นพรหมจรรย์ขั้นต่ำ เมื่อละสังขารไปแล้ว ย่อมสามารถไปบังเกิดในเทวโลกตามที่ปรารถนาได้ ส่วนการที่ภิกษุผู้มีศีลบริสุทธิ์ สามารถยังสมาบัติ ๘ ให้บังเกิดขึ้น ชื่อว่าพรหมจรรย์อย่างกลาง ครั้นละสังขาร ย่อมไปบังเกิดในพรหมโลกได้ถ้าปรารถนา สำหรับภิกษุผู้มีศีลบริสุทธิ์ เจริญวิปัสสนาถึงขั้นทำอาสวกิเลสให้หมดสิ้นเชื้อไม่เหลือเศษ สำเร็จเป็นพระอรหันต์ เป็นผู้ถึงฝั่ง ผู้นั้นท่านเรียกว่า บรรลุพรหมจรรย์ขั้นสูงสุดอย่างแท้จริงท้าวสักกเทวราชตรัสสรรเสริญว่า “ดูก่อนมหาราช การประพฤติพรหมจรรย์เป็นคุณมีผลมากกว่าทานหลายเท่านักสุดจะเปรียบได้” และเนื่องจากท้าวสักกะทรงรู้คติของผู้ที่เคยทำบุญกุศลไว้มากๆ ว่าไปบังเกิดที่ไหนกันบ้าง พระองค์จึงตรัสยกตัวอย่างว่า “ดูก่อนมหาราช พระราชาพระนามว่า ทุทีปราช ในกรุงพาราณสีในกาลก่อน ทรงบริจาคทานเป็นอันมาก สวรรคตแล้วก็ได้บังเกิดในสวรรค์” จากนั้นพระองค์ได้ตรัสเล่ารายละเอียดของพระราชาแต่ละองค์ให้พระเจ้าเนมิราชได้สดับ เรื่องราวจะเป็นอย่างไร ติดตามได้ในตอนต่อไป ให้พวกเราทุกๆ คนหมั่นประพฤติธรรมไว้ให้มากๆ ทาน เราก็ทำให้เต็มที่ พรหมจรรย์ ก็ประพฤติควบคู่กันไปอย่าให้ขาด ทั้งรักษาศีลและเจริญภาวนา เพราะจะเป็นอุปกรณ์สำคัญที่จะทำให้เราประพฤติพรหมจรรย์ขั้นสูงได้บริสุทธิ์บริบูรณ์ยิ่งๆ ขึ้นไป อันจะเป็นเหตุให้ได้บรรลุมรรคผลนิพพาน หรืออย่างน้อยก็ได้พบพระรัตนตรัยในตัวซึ่งเป็นที่พึ่งที่ระลึกภายในกันทุกๆ คน
พระธรรมเทศนาโดย : พระราชภาวนาวิสุทธิ์ (ไชยบูลย์ ธมฺมชโย)*มก.เนมิราชชาดก เล่ม ๖๓ หน้า ๒๔๓
http://goo.gl/jst8g